วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

กรมพัฒนาพลังงานทดแทนฯ จัดกิจกรรม “รวมพลังคนไทย ลดใช้พลังงาน หาร 2” ในส่วนภูมิภาค ทั้งภาคกลาง อีสานและใต้ พร้อมชูโครงการฉลากประหยัดพลังงานช่วยประหยัดเงินระดับครัวเรือน หวังประหยัดค่าไฟ 10%

วันที่ 26 พ.ค.2565  ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน เป็นประธานในกิจกรรมเปิดบ้านพลังงาน ประจำปี 2565 และกิจกรรม “รวมพลังคนไทย ลดใช้พลังงาน หาร 2” ณ ศูนย์บริการวิชาการที่ 1  จังหวัดปทุมธานี

 



อธิบดี พพ. เปิดเผยว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการประหยัดพลังงาน โดยประกาศให้การประหยัดพลังงานเป็นวาระสำคัญของชาติ พพ. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่มีบทบาท หน้าที่ในการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงาน จึงได้จัดกิจกรรมรณรงค์การประหยัดพลังงาน “รวมพลังคนไทย ลดใช้พลังงาน หาร 2” ขึ้น ร่วมกับกิจกรรม Open House เปิดบ้านพลังงาน ของศูนย์บริการวิชาการที่ 1 จังหวัดปทุมธานี  เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชนทั่วไปได้รับความรู้เกี่ยวกับการใช้งานเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน




การจัดงานดังกล่าว มุ่งให้ความรู้ด้านพลังงานและนวัตกรรมเทคโนโลยีพลังงาน ซึ่งภายในงานจัดให้มีกิจกรรมต่างๆ  ประกอบด้วย การจัดนิทรรศการเผยแพร่ให้ความรู้เรื่องการประหยัดพลังงาน เช่น  วิธี “ประหยัดไฟง่ายๆ ลดค่าไฟ 10%” การใช้รถให้ประหยัดพลังงาน ด้วยเคล็ดลับ “ขับ... อย่างถูกต้อง ประหยัดน้ำมัน” บูธนิทรรศการด้านพลังงานจากกลุ่มวิสาหกิจ องค์กร และผู้ประกอบการต่างๆ เป็นต้น  จะเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนประหยัดพลังงาน เป็นสิ่งที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการลงทุน ทุกคนสามารถทำได้ทันที และเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และหากประชาชนสามารถพึ่งตนเองโดยใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นนำมาผลิตพลังงานทดแทนได้อย่างเหมาะสม ก่อให้เกิดการลดรายจ่ายและเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังสามารถผลิตพลังงานทดแทนได้ โดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีพลังงาน ก็จะส่งผลให้ภาระทางด้านพลังงานโดยรวมของประเทศลดลง





ดร.ประเสริฐ กล่าวว่า พพ.ได้กระจายการจัดกิจกรรมในณูปแบบดังกล่าวไปทั่วทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ด้วยแนวคิด “พลังงานเพื่อชุมชน” โดยในวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 วันเดียวกันนี้ได้จัดกิจกรรมพร้อมกันขึ้นใน 3 ภูมิภาค ประกอบด้วยภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ โดยภาคอีสานจัดขึ้นที่ศูนย์บริการวิชาการที่ 4 จังหวัดหนองคาย โดยมีนางสุภา นันทะมีชัย นายก อบต.หนองกอมเกาะ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน มีนายเปลี่ยน วาทโยธา หัวหน้าศูนย์ถ่ายทอดและเผยแพร่เทคโนโลยีพลังงานที่ 2 และผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมพิธีเปิดไปพร้อมกับภาคกลางจัดขึ้นที่ศูนย์บริการวิชาการที่ 1 จังหวัดปทุมธานี และภาคใต้จัดขึ้นที่ศูนย์บริการวิชาการที่ 10 จังหวัดสงขลา  และในเดือนมิถุนายนจะจัดกิจกรรมที่ศูนย์บริการวิชาการในส่วนภูมิภาคอีก 3 แห่ง ได้แก่ จังหวัดชอนแก่น มหาสารคาม และนครศรีธรรมราช ซึ่งจะจัดขึ้นครบทุกศูนย์บริการวิชาการ รวม 10  ศูนย์ทั่วประเทศ





นอกจากนี้ พพ. ให้ความสำคัญถึงโครงการฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง ซึ่งหากประชาชนเลือกใช้อุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์ที่ติดฉลาดประหยัดพลังงานจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายพลังงานได้อีกมาก ซึ่งมีทั้งสิ้น 19 ผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมเครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น เตาแก๊ส เตารังสีอินฟราเรด เครื่องทอดน้ำมันท่วม ประเภทวัสดุก่อสร้าง เช่น อิฐมวลเบา กระเบื้องหลังคา ฉนวนใยแก้ว สีทาบ้าน ยังมีเครื่องยนต์การเกษตร และผลิตภัณฑ์สำหรับโรงงานอุตสาหกรรม การจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและกระจายทั่วทุกภูมิภาคจะสามารถส่งเสริมให้ประชาชนประหยัดพลังงาน เป็นสิ่งที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการลงทุน ทุกคนสามารถทำได้ทันที และเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และหากประชาชนสามารถพึ่งตนเองโดยใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นนำมาผลิตพลังงานทดแทนได้อย่างเหมาะสม ก่อให้เกิดการลดรายจ่ายและเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งยังสามารถผลิตพลังงานทดแทนได้ โดยใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีพลังงาน ก็จะส่งผลให้ภาระทางด้านพลังงานโดยรวมของประเทศลดลง 

































เทศบาลเมืองหนองคาย จัดโครงการรวมพลัง สร้างสุขภาพ เพื่อรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง

เมื่อช่วงเย็นวันที่ 25 พ.ค. 2565 ที่ ลานวัฒนธรรมริมแม่น้ำโขง หน้าวัดลำดวน อ.เมือง จ.หนองคาย นายอุรุยศ เอียสกุล นายกเทศมนตรีเมืองหนองคาย เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการรวมพลัง สร้างสุขภาพ ที่สำนักสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองหนองคาย จัดให้มีขึ้น โดยมีนายสมบัติ บินตะคุ ปลัดเทศบาลเมืองหนองคาย กล่าวรายงาน นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม อสม. เขตอำเภอเมือง และประชาชนร่วมกิจกรรมจำนวนมาก





ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในด้านต่าง ๆ ที่มีความทันสมัยสะดวกสบายมากขึ้น ทำให้วิถีชีวิตของคนในปัจจุบันเปลี่ยนไป ประชาชนมีกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกายน้อยลง ส่งผลให้เกิดปัญหาโรคไม่ติดต่อ และเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ  โรคที่เป็นปัญหา 5 อันดับแรกในกลุ่มโรคไม่ติดต่อ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคระบบกล้ามเนื้อ และโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด มีสาเหตุส่วนหนึ่งจาก การมีกิจกรรมทางกายและการออกกำลังกายไม่เพียงพอ รวมถึงการบริโภคอาหารไม่ถูกต้อง การมีสุขภาพดีเป็นองค์ประกอบสำคัญของคุณภาพชีวิต เป็นแหล่งประโยชน์อันสำคัญ ของการพัฒนาด้านสังคมและเศรษฐกิจ 



สำนักสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ได้ตระหนักถึงการสร้างประชากรที่มีคุณภาพ จึงได้รณรงค์ส่งเสริมสุขภาพประชาชน ด้วยการสนับสนุนให้เกิดชมรมสร้างสุขภาพ ซึ่งเป็นแกนนำสำคัญ ที่ช่วยส่งเสริมให้ประชาชนมีพฤติกรรมการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง อันจะนำไปสู่การพัฒนาและเกิดความยั่งยืน ในการสร้างสุขภาพที่ดีของประชาชนในเขตเทศบาลเมืองหนองคายต่อไป





"มนัญญา"รมช.เกษตรและสหกรณ์ ติดตามการส่งออกทุเรียนไปจีน พบด่านศุลกากรหนองคายมีความแออัด เตรียมนำปัญหาเสนอนายกรัฐมนตรีให้รับทราบ

วันที่ 25 พ.ค. 2565 นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดหนองคาย โดยจุดแรกได้ร่วมประชุมรับฟังการรายงานผลการปฏิบัติงาน สถานการณ์การค้าชายแดน ณ ห้องประชุมด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 จังหวัดหนองคาย อ.เมือง จ.หนองคาย  โดยมีนายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ และรายงานผลการปฏิบัติงาน รวมทั้งรายงานสถานการณ์การค้าชายแดน ซึ่งก่อนการประชุมฯ ยังได้มีกิจกรรมรณรงค์ดื่มนม เนื่องใน "วันดื่มนมโลก" ที่ตรงกับวันที่ 1 มิถุนายนของทุกปี






ภายหลังการประชุมฯ นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ ได้ติดตามขั้นตอนการตรวจปล่อยทุเรียน ส่งออกไปยังจีน ผ่านทางรถไฟสาย ไทย – สปป.ลาว – จีน ณ ลานตรวจสินค้า ด่านศุลกากรหนองคาย จากนั้นได้ตรวจติดตามโครงสร้างพื้นฐาน ที่สำนักงานด่านตรวจพืชหนองคาย , ตรวจติดตามงานนโยบายที่ด่านกักกันสัตว์และด่านตรวจสัตว์น้ำ และตรวจเยี่ยมเกษตรกรโครงการนำลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร ที่สหกรณ์การเกษตรท่าบ่อ จำกัด ต.ท่าบ่อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย






นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า พื้นที่บริเวณด่านศุลกากรหนองคาย ขณะนี้พบว่าคับแคบ และเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าพื้นที่การปลูกทุเรียนในประเทศไทยมีพื้นที่เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นธรรมดาที่ทำให้การส่งออกทุเรียนมีความแออัดมากขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับผลไม้ของไทยเป็นที่ยอมรับว่ามีความอร่อย กรอบ หวาน เพราะว่าเป็นผลไม้ดั้งเดิมของประเทศไทย แม้ว่าจะมีใครเลียนแบบก็สู้ทุเรียนพื้นที่พื้นถิ่นของไทยเราไม่ได้ การแก้ปัญหาเรื่องความแออัดในเรื่องของการค้านั้น จะต้องมีการย้ายพื้นที่เพื่อรองรับการขยายตัวทางการค้าได้ 





ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคายก็ได้รายงานว่า จังหวัดหนองคายได้มีการเตรียมพื้นที่เกือบ 100 ไร่ เพื่อจะรองรับรถไฟที่จะเชื่อมต่อกันระหว่างไทย สปป.ลาว ไปถึงจีน ในความคิดเห็นที่มีร่วมกันเห็นว่าจะต้องมีการเตรียมการก่อนไม่ใช่รอให้รถไฟมาเชื่อมต่อถึงกันแล้วค่อยสร้างสถานที่รองรับให้เพียงพอ จริง ๆ แล้วภายใน 1 – 2 ปีนี้จะต้องมีการจัดเตรียมสถานที่รองรับไว้แล้ว เรื่องนี้ตนจะนำไปเรียนเสนอให้ท่านนายกรัฐมนตรีได้รับทราบ หากเราใช้คำว่าเตรียมความรองรับรถไฟความเร็วสูง การก่อสร้างก็จะต้องแล้วเสร็จพร้อมกับการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง แต่ตอนนี้ไม่ใช่ เนื่องจากช่วงนี้ บางครั้งผู้ประกอบการมีการนำตู้คอนเทรนเนอร์เข้ามาครั้งละ 35 – 50 ตู้ ต่อรถไฟหนึ่งขบวนที่จะออกไป สปป.ลาว และก็พึ่งทราบปัญหาว่าความแออัดไม่ได้เกิดจากความล่าช้าของเจ้าหน้าที่ฝ่ายเดียว แต่เกิดจากผู้ประกอบการเอง นอกจากนี้ที่สินค้าที่ผ่านด่านศุลกากรหนองคาย ไม่ได้มีเพียงทุเรียน แต่มีสินค้าประเภทอื่น ๆ อีกมากมาย  จึงทำให้ด่านฯคับแคบแออัด พื้นที่ ๆ มีการเตรียมไว้เกือบ 100 ไร่ เพื่อรอบรับการขยายตัวทางการค้านั้นก็อาจจะไม่เพียงพอ และเมื่อรถไฟความเร็วสูงเชื่อมถึงกัน ด่านฯแห่งนี้ก็ถือเป็นด่านที่ใหญ่ด่านหนึ่ง




ในส่วนของปุ๋ยแพงนั้น รมช.เกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลได้เคยบอกแล้วว่า วัสดุที่เราจะได้เปรียบมากที่สุดคือวัสดุในประเทศ ขณะนี้ก็จะมีการร่นระยะเวลาในการขอชีวพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตร แต่ทุกอย่างก็ต้องแม่นยำ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องรักษาเกษตร เกษตรอินทรีย์ยังเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่การปรับเปลี่ยนต่าง ๆ เราจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า ในเมื่อเรายังอาศัยปุ๋ยจากต่างประเทศอยู่ ทางรัฐบาลเองก็ได้มีการติดต่อกับประเทศซาอุดิอาระเบียในการนำเข้าปุ๋ยยูเรียและให้ชะลอในการขึ้นราคาปุ๋ย รัฐบาลก็ได้ทำอย่างเต็มที่ ขณะนี้ที่จังหวัดอุทัยธานี ปุ๋ยก็ถูกกว่าทั่ว ๆ ไปอยู่กระสอบละประมาณ 300 บาท เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในช่วงที่จะเป็นเทอม หากทั่วประเทศมีการเห็นใจกัน ออกมาพร้อมใจกันลดราคา ไม่มีการค้ากำไรเกินควร ปุ๋ยก็ไม่น่าจะมีราคาแพงขึ้น ร้านเล็กในหนองขาม จังหวัดอุทัยธานี ทำไมเขาจึงลดได้ราคากระสอบละ 300 บาท ก็แสดงว่าเขายังทำได้ เป็นการช่วยเหลือเกษตรกร ถือเป็นต้นแบบให้กับผู้ค้าปุ๋ยรายใหญ่ได้เลย




จ.หนองคาย ขับเคลื่อนการตำเนินงานโครงการขยายผลการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุต์สู่ "โคก หนอง นา" เฉลิมพระเกียรติฯ

สนง.พช.หนองคาย ขับเคลื่อนการตำเนินงานโครงการขยายผลการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุต์สู่ "โคก หนอง นา...