วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

ครูแดงบ้านศิลป์ไทยพาเด็กๆ เข้าค่ายทำนา ขี่ควายชมทุ่ง เรียนรู้กับการสัมผัสวิถีชีวิตชาวนา

ชมรมศิลปะเด็กบ้านศิลป์ไทย จ.หนองคาย จัดกิจกรรม"ค่ายศิลปะการดำนา ขี่ควายชมทุ่ง" เปิดโอกาสให้เด็กในเมืองได้เรียนรู้กับการสัมผัสวิถีชีวิตชาวนา ณ บ้านทุ่งศิลป์ครูแดง ห้องเรียนธรรมชาติที่รังสรรค์ไว้ให้เด็กๆ 


วันที่ 22 ก.ค.66 ที่ ชมรมศิลปะเด็กบ้านศิลป์ไทย ตั้งอยู่ภายในบริเวณบ้านทุ่งศิลป์ครูแดง ต.น้ำโมง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย นางศิริพร ขนุนใหญ่  รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบลน้ำโมง เป็นประธานเปิดกิจกรรม "ค่ายศิลปะการดำนา ขี่ความชมทุ่ง" ประจำปี 2566 โดย นายเฉลิมศักดิ์ ธรรมเรืองฤทธิ์ หรือครูแดง ประธานชมรมฯและเป็นเจ้าของสถานที่ จัดให้มีขึ้นครั้งนี้เป็นค่ายลำดับที่ 79 โดยมีหัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ ผู้ปกครองของเด็กร่วมพิธีเปิด




ภายหลังพิธิเปิดกิจกรรม ครูแดงพาเด็กๆในเมืองอายุ 5-12 ปี จำนวน 11 คน เรียนรู้กับวิถีชีวิตของชาวนา ด้วยการหาปลาในบ่อเลี้ยงปลาภายบริเวณในบ้านทุ่งศิลป์ฯ ด้วยอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายๆ ในท้องถิ่น เช่น ตึกสะดุ้ง(ยกยอ) และทอดแห ต่อด้วยพาเด็กๆ ไปขี่ควายที่มาร่วมในกิจกรรมจำนวน 2 ตัว มีชื่อว่าเจ้าเพชรสงคราม และเจ้าเพชรยินดี  ของ "สิงห์คำเลาะฟาร์ม" อ.สระใคร จ.หนองคาย ซึ่งควายทั้ง 2 ตัวมีมูลค่ากว่า 15 ล้านบาท มาให้เด็กๆได้ขี่  โดยเด็กๆ ต่างมีความตื่นตาตื่นใจ กับการที่ได้ขี่ควายเป็นครั้งแรกในชีวิต




จากนั้นครูแดงได้พาเด็กๆ มาที่ทุ่งนาเพื่อสาธิตวิธีปักต้นกล้า ครูแดงบอกว่า "การปักต้นกล้าไม่ใช่ว่ากำต้นปักลงไปในดินเฉยๆ แต่ต้องใช้นิ้วหนึ่งนำ นิ้วหนึ่งกลบดินตามหลัง ไม่อย่างนั้นต้นข้าวจะล้มได้" เมื่อเด็กๆ รู้วิธีทำแล้ว ก็เรียงแถวลงปักต้นกล้าในนา ซึ่งเด็กๆ ได้เล่นดินย่ำโคลนเลอะเทอะกันอย่างสนุกสนาน ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเด็กในสมัยนี้



การจัดกิจกรรมครั้งนี้ เด็กๆ นอกจากจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวนาและธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เด็กๆ ยังได้เรียนรู้ถึงคุณค่าและประโยชน์ของการพึ่งพาตนเอง และเข้าใจว่าคนเป็นส่วนหนึ่งและสัมพันธ์กับทุกสิ่งในธรรมชาติ  และนำสิ่งที่ได้สัมผัส ไปวาดภาพระบายสี  เพื่อให้มีความคิดสร้างสรรค์  สร้างจินตนาการ


ทั้งนี้บ้านทุ่งศิลป์ครูแดง มีเนื้อที่ 19 ไร่เศษ ภายในบริเวณมีการทำการเกษตรสวนผสม ปลูกข้าว ทำนา เลี้ยงปลา และเป็นพื้นที่ศึกษาดูงานของหน่วยงานต่างๆ ควบคู่กับการสอนศิลปะเด็ก หรือ"เกษตรศิลป์" และเป็นสถานที่จัดกิจกรรมค่ายต่างๆ ตามฤดูกาล อาทิ ค่ายศิลปะการดำนา, ค่ายศิลปะการเกี่ยวข้าว, ค่ายศิลปะจับกบไง, ค่ายศิลปะแหย่ไข่มดแดง , ค่ายศิลปะกล้วย...กล้วย และกิจกรรมอื่นๆ สำหรับเด็กอีกมากมาย เรียกได้ว่าเป็นห้องเรียนธรรมชาติที่รังสรรค์ไว้ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้กับการสัมผัสวิถีชีวิต นั่นเอง












เศร้า! หญิงวัย 57 ปี ป่วยหลายโรคมานาน 7 ปี ใช้เชือกไนล่อนผูกคอตัวเองเสียชีวิต


สามีตื่นเช้ามาไม่เจอภรรยา  ออกตามหาพบผูกคอตายกับรั้วข้างบ้าน ญาติเผยผู้ตายป่วยหลายโรคมานาน 7 ปี สามีพากลับมาอยู่บ้านได้แค่ 3 สัปดาห์ก็มาคิดสั้นผูกคอตาย คาดคงเครียดทั้งเรื่องเงินไม่พอใช้และโรครุมเร้า


วันที่ 22 ก.ค.66 ที่ บ้านเลขที่ 133/1 บ้านเสียว หมู่ที่ 7 ต.หนองปลาปาก อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ญาติพี่น้องและชาวบ้านได้ช่วยกันจัดเตรียมสถานที่ทำพิธีสวดอภิธรรมให้กับ นางยุ่น คำใบ อายุ 57 ปี ที่ได้คิดสั้นผูกคอตายลาโลก เมื่อช่วงเวลาประมาณ  5.30 น. ของเช้าตรู่วันนี้ (22 ก.ค ) ในสภาพนุ่งชุดนอนผูกคอตายที่บริเวณคานยึดลูงกรงรั้วข้างบ้านของเพื่อนบ้าน ตรวจสอบพบรอยเขียวช้ำที่ลำคอ และเชือกไนล่อน ตามร่างกายไม่พบร่องรอยถูกทำร้าย 



นายสนาม คำใบ อายุ 62 ปี สามีของผู้ตาย กล่าวว่า ผู้ตายป่วยหลายโรคมานาน 7 ปี เมื่อก่อนก็ไปอาสัยอยู่กับตนที่ จ.สมุทร ปราการ ซึ่งตนมีอาชีพขับรถบรรทุก 10 ล้อให้กับบริษัทในสมุทรปราการ พอผู้ตายเริ่มป่วยหนักจึงพากลับมารักษาที่บ้าน ก่อนที่ผู้ตายจะคิดสั้นก็ไม่มีท่าทีอะไร  เมื่อคืนก็พูดคุยกันตามปกติ ไม่ได้แสดงอาการอะไร และไม่พูดอะไรให้สงสัย 



จนกระทั่งตอนเช้าเวลาประมาณ 5.00 น. ผู้ตายจะตื่นก่อนตน เพื่อลุกขึ้นมานึ่งข้าว จนกระทั่งเวลาประมาณ 6.00 น. ตนก็ลุกออกจากห้องนอน แต่ไม่พบผู้ตาย คิดว่าคงจะไปเดินออกกำลังกาย แต่ผู้ตายหายไปนานจนผิดสังเกตุ จึงโทรฯหาผู้ตายและเดินดูรอบๆ บ้าน พบภรรยาผูกคอตายอยู่รั้วข้างบ้าน จึงได้บอกญาติและแจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ



นางบัวไหล เสียวสุด อายุ 69 ปี ซึ่งเป็นป้าของผู้ตาย กล่าวว่า ผู้ตายป่วยมานานหลายโรค ทั้งความดัน เบาหวาน โรคหัวใจ  ซึ่งผู้ตายก็เคยบ่นกับญาติพี่น้องอยู่หลายครั้ง ว่าอยากจะตาย คิดว่าคงน้อยใจทั้งเรื่องเงิน เรื่องอยู่เรื่องกิน และฐานะทางบ้านที่เป็นอยู่  เมื่อก่อนไปอยู่กับสามีผึ้งกลับมาอยู่บ้านได้แค่ 3 สัปดาห์ ช่วงที่มาอยู่ผู้ตายกินข้าวก็กินไม่ค่อยได้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะคิดสั้นผูกคอตายจริงๆ คาดว่าน่าจะมาจากเรืองเงินที่ไม่พอใช้และมีโรครุมเร้า

 

หลังจนท.ตำรวจ สภ.ศรีเชียงใหม่ กู้ภัยประจักษ์จุดอำเภอศรีเชียงใหม่ และแพทย์จากโรงพยาบาลศรีเชียงใหม่มาชันสูตรพบว่าเสียชีวิตมานานกว่า 1 ชม.และเสียชีวิตจากการขาดอาการหายใจ และญาติไม่ติดใจในการเสียชีวิต จึงมอบศพให้ทางญาตินำไปบำเพ็ญกุศลทางประเพณีต่อไป








วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

ตรวจสุขภาพพระภิกษุสงฆ์และผู้นำศาสนา ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 10

โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทำบ่อ ร่วมกับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สาขาท่าบ่อ จัดทำโครงการตรวจสุขภาพพระภิกษุสงฆ์และผู้นำศาสนา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 72 พรรษา ในปี 2567


วันที่ 21 ก.ค. 2566 เวลา 9.00 น. ที่ วัดอรัญญวาสี ต.ท่าบ่อ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย กระทรวงสาธารณสุข โดยโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทำบ่อ ร่วมกับมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช สาขาท่าบ่อ ได้จัดทำโดรงการตรวจสุขภาพพระภิกษุสงฆ์และผู้นำศาสนาขึ้น โดยเป็นการประสานความร่วมมือระหว่าง โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชทำบ่อ กับเครือข่ายโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จิตอาสาพระราชทานและอสม.ทั้งอำเภอทำบ่อ เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์มีสุขภาพดี สามารถปฏิบัติศาสนกิจในการสืบทอดพระพุทธศาสนา เป็นแบบอย่างที่ดีแก่พุทธศาสนิกชน อันจะทำให้สังคมเกิดความสงบสุข ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป โดยในพิธีเปิด มี นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส และ พระกิตดิสารโสภณ เจ้าคณะจังหวัดหนองคาย / เจ้าอาวาสวัดอรัญญวาสี เป็นประธานฝ่ายสงฆ์



สำหรับก่ตัดกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 72 พรรษา ในปี พ.ศ.2567  เพื่อส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาโรค และฟื้นฟูสุขภาพพระสงฆ์และผู้นำทางศาสนา  เพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ได้รับการประเมินสุขภาพและคัดกรองดวามเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด การสูบบุหรี่ และเพื่อให้พระภิกษุสงฆ์ที่มีภาวะเสี่ยงได้รับความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองด้านการส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันไม่ให้เกิดโรค



พญ.ฤดีมน สกุลคู ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชท่าบ่อ กล่าวรายงานความสำคัญของโครงการฯ ว่า กลุ่มเป้าหมายทั้งหมดจะเป็นพระภิกษุสงฆ์  สามเณรในอำเภอท่าบ่อ รวม 374 รูป โดยในวันนี้จะเริ่มทำการตรวจพระภิกษุสงฆ์ จำนวน 72 รูป กิจกรรมการตรวจประกอบไปด้วย การบริการตรวจดัดกรองสุขภาพ ตรวจเลือด  ตรวจตา ตรวจฟัน เอ็กชเรย์ปอด รวมถึงการถวายความรู้ เรื่องพิษภัยบุหรี่ ความรู้เรื่องยา และการดูแลสุขภาพร่างกายด้วย 3อ.2ส. และหลังจากนี้จะได้ทำการตรวจพระภิกษุสงฆ์ที่เหลือเป็นลำดับต่อไป จนครบทุกรูป











วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

เกษตรกรหนองคายปลูกฝรั่งกิมจู-หงเป่าซือ แทนส้มเขียวหวาน พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ขายสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ

เกษตรกรหนองคายปลูกฝรั่งกิมจู-หงเป่าซือ แทนส้มเขียวหวาน พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ดูแลง่าย ขายสร้างรายได้ให้ครอบครัวอย่างเป็นกอบเป็นกำ เป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะตลาดสปป.ลาว พร้อมเปิดให้ชมสวนเสาร์-อาทิตย์


ที สวนส้มเจ้าจอมขวัญ บ้านนาโพธิ์ ต.หนองปลาปาก อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย ของนางสาวฤดี พวงจำปา ได้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกส้มสายพันธุ์เขียวหนองคาย(เขียวดำเนิน) 2,500 ต้น บนพื้นที่ 40 ไร่ หันมาปลูกฝรั่งสายพันธุ์กิมจู และฝรั่งสายพันธุ์หงเป่าซือ ใช้เวลาในการดูแลเพียง 2 เดือนก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตและขาย สามารถสร้างรายได้ให้ครอบครัวอย่างเป็นกอบเป็นกำ เพราะเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะตลาด สปป.ลาว




นางสาวฤดี พวงจำปา กล่าวว่า  เนื่องจากพื้นที่ปลูกส้มน้ำท่วม ทำให้ส้มได้รับความเสียหายจึงต้องปลูกผลไม้ชนิดใหม่ ท่ายังเอาส้มไว้จะต้องใช้ปุ๋ยชีวนะ แต่สวนสัมตรงนี้ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP จึงไม่สามารถใช้ปุ๋ยชีวนะได้  โดยทดลองปลูกฝรั่งดูว่าจะได้ผลหรือไม่ ซึ่งฝรั่งหงเป่าซือ ราคาที่ท้องตลาดอยู่ที่ 70-100 บาทต่อกิโลกรัม มีรสชาติหวาน หอม กรอบ อร่อย เนื้อในสีแดง การดูแลรักษาก็ดูแลง่าย โดยใช้กระดาษห่อเพื่อรักษาผิวของฝรั่งไม่ให้โดนแสงแดด จะทำให้ผลดูออกมาสวย ซึ่งฝรั่งหงเป่าซือและกิมจู ใช้ระยะเวลาในการปลูกที่ไม่นาน เพียง 2 เดือนก็สามารถเก็บเกี่ยวและขายได้ แตกต่างจากปลูกส้ม หลังออกช่อดอกจนเริ่มมีผลลูกเล็ก จะใช้เวลาดูแลนานกว่า 8 เดือน จึงสามารถเก็บเกี่ยวและขายได้



นางสาวฤดี บอกต่อว่า ส่วนตลาดที่ต้องการ ก็มีทั้งขายหน้าสวน ส่งลูกค้าในจังหวัดและยังเป็นที่ต้องการของตลาด สปป.ลาว เป็นอย่างมาก ซึ่งจะรับซื้อทั้งหมด โดยฝรั่งหงเป่าซือ จะขายอยู่ที่ 80 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนฝรั่งกิมจู จะขายอยู่ที่ 35 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 3 กิโลกรัม 100 บาท ซึ่งตอนนี้การตลาดดีมาก อยากให้มีบรรยากาศเหมือนการเก็บส้มเหมือนเดิม โดยจะเปิดสวนให้ผู้สนใจเข้ามาเยี่ยมชมได้ในวันเสาร์ - วันอาทิตย์ แต่ตอนนี้ที่สวนมีฝรั่งหงเป่าซือ เพียงแค่ร่องเดียว ที่เหลือก็เป็นฝรั่งกิมจู ซึ่งฝรังหงเป่าซือ ได้ทำการทดลองปลูกเริ่มแรก 30 ต้น เนื่องจากเกรงว่าจะปลูกแล้วไม่ติด แต่ปัจจุบันได้ขยายเพิ่ม รวมกว่า 600 ต้น ส่วนฝรั่ง"กิมจู" มีทั้งหมด 1,200 ต้น นอกจากนี้ในพื้นที่ยังได้ปลูกผลไม้หลายชนิด อาทิ กล้วย 3 สายพันธุ์ (กล้วยหอม ,กล้วยน้ำว้ากำแพงเพชร , กล้วยน้ำว้าปทุมฯ) , ลิ้นจี่ ,สัมโอทับทิมสยาม , อโวคาโด ,  มะม่วงเบา 200 ต้น , ชมพู่หวาน , มะพร้าวน้ำหอม และต้นสะแก  หากท่านใดสนใจที่จะชมสวน โทรฯสอบถามได้ที่เบอร์ 099-635-1945









จ.หนองคาย ขับเคลื่อนการตำเนินงานโครงการขยายผลการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุต์สู่ "โคก หนอง นา" เฉลิมพระเกียรติฯ

สนง.พช.หนองคาย ขับเคลื่อนการตำเนินงานโครงการขยายผลการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุต์สู่ "โคก หนอง นา"...